วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

Chapter 9 : ENGLISH TIPS 1: ภาษาอังกฤษที่หลายคนใช้ผิดบ่อยๆ


ภาษาอังกฤษที่คนไทยยังเข้าใจผิดและใช้ผิดบ่อยๆ

1. ในการจ่ายเงิน คนไทยเรามักจะพูด เช็คบิลหน่อยครับ/ค่ะ คนไทยมักใช้ว่า เช็คบิล (check bill) แต่ฝรั่งจะใช้ว่า “check please” หรือ “bill please” ให้เลือกใช้เพียงคำเดียว อย่าใช้ทั้งสองคำรวมกันนะคะ

2. อาชีพหนึ่งที่หนุ่มๆ ชอบดู แต่ไม่ชอบเป็น คือ “พริตตี้ (pretty)” ซึ่ง คนไทยจะหมายถึงนางแบบตามงาน event ต่างๆ โดยเฉพาะงาน motor show ความจริงแล้วคำว่า “pretty” ในภาษาอังกฤษ เป็นได้ทั้งคำคุณศัพท์ (adjective) ที่แปลว่า น่ารัก หรือ สวยน่ามอง เช่น a pretty girl คือ เด็กผู้หญิงน่ารัก ส่วน She has a pretty face. เธอมีหน้าตาน่ารัก แต่สรุปแล้ว “พริตตี้” ที่คนไทยเรียก ผู้หญิงสวยๆ ตามงาน event นั้น ฝรั่งจะเรียกว่า “model” ที่แปลว่า “นางแบบ”ค่ะ

3. มีประโยคที่มักสับสนอีก How can you find it? เมื่อฝรั่งถามประโยคนี้แล้วคุณและอีกหลายๆท่านมักแปลว่า “คุณหา(มัน)พบได้อย่างไร?” ซึ่งมองเผินๆ ก็ไม่มีอะไรแปลก แต่จริงๆแล้วประโยคนี้จะใช้ถามต้องขึ้นอยู่กับรูปประโยคด้วย เช่น You have lived in London for 2 years, so how can you find it? ซึ่งในรูปประโยคนี้ How can you find it ? เป็นการถามว่า คุณมาอยู่ลอนดอนสองปีแล้ว 'คุณรู้สึกอย่างไรกับ London ไม่ได้แปลว่าคุณหา(มัน)พบได้อย่างไร ดังนั้นอย่าได้ตอบที่ตั้งตาแหน่งของลอนดอน หรือตอบว่ามาลอนดอนถูกได้อย่างไรเด็กขาด แต่คำตอบที่เหมาะสมควรจะตอบว่า ลอนดอนน่าอยู่มาก I find London a good place for living.ต่างหากล่ะคะ

4. อีกประโยคที่พบบ่อยมากๆ How are you going? ถ้าฝรั่งถามอย่างนี้ อย่าได้ตอบว่า I am going by bus.นะคะ เพราะ How are you going? ไม่ได้แปลว่า 'คุณไปอย่างไร' แต่ว่าเป็นการถามสารทุกข์สุกดิบ คล้ายๆ กับ How are you? คุณก็ควรตอบว่า Fine, thanks. หรือ Very well, thank you.แทนค่ะ

5. ส่วนข้อนี้ขอเน้นว่าเวลาที่ฝรั่งพูดต้องฟังให้ดี How are you doing? สบายดีไหม เป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งมีความหมายเหมือนกับ How are you? และ How are you going? ส่วนคำที่มักจะสับสนคือ What are you doing? แปลว่า กำลังทำอะไรอยู่หรือ ซึ่งมีความหมายต่างกันไป แปลว่า “คุณกำลังทำอะไรอยู่”

จากข้อ 4 และ 5 สามารถนำมาใช้แทนประโยคที่ที่โรงเรียนในประเทศไทยมักสอนในการทักทายฝรั่งด้วยคำHow are you? ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง ฝรั่งอาจใช้ว่า How are you going? How are you doing? ซึ่งใช้แทน How are you? ได้เหมือนกัน แล้วใช้กันค่อนข้างบ่อยด้วย
6. I will telephone you later. :ฉันจะโทรกลับนะ หากเราต้องการพูด
ประโยคภาษาอังกฤษที่มีความหมายแบบนี้ ต้องพูดว่า l will call you later. (ไอ วิล คอล ยู เล เทอ) หรือ l will phone you later.

2. Don't serious: ถ้าจะพูดให้ถูกหลักไวยากรณ์ต้องพูดว่า Don’t be serious แต่คนไทยนำมาใช้ในความหมายที่ว่าอย่าเครียดไปเลย ซึ่งเจ้าของภาษาไม่ได้ใช้คำพูดในการปลอบโยนแบบนี้ แต่จะใช้คำว่า Calm down หรือ Relax ถ้าเป็นรูปประโยคจะพูดว่า lt’s no big deal.หรือ lt’s not worth being serious about.

3. Don’t be worry : เป็นประโยคที่ใช้ ในการปลอบโยนเช่นกัน แต่คนไทยมักจะเติม be ในประโยคนี้ทั้ง ๆ ที่ worry เป็นคำกริยาซึ่งไม่ต้องนำ verb to be มาช่วยแต่อย่างใด เช่น Don’t worryyou will not fail the test. แปลว่าอย่ากังวลไปเลย เธอไม่สอบตกหรอก

4. No haveแปลว่า ไม่มี : คนไทยมักจะพูดแบบตรงตัว ที่ถูกต้อง พูดว่า l don’t have.  เช่น l don’t have any money. ซึ่งจะต้องนำ Verb to be เข้ามาช่วยในการสร้างประโยค พอเป็นการปฏิเสธ จึงเป็น do not หรือ don’t แล้วตามด้วยคำกริยา ช่องที่ 1

5. She have/He have แปลว่า เธอมี/เขามี : คนไทยมักพูดแบบที่ผิดหลักไวยากรณ์ในลักษณะนี้ ที่ถูกต้องนั้น คำกริยาที่ถูกต้อง คือ has เนื่องจาก She และ He เป็นประธานเอกพจน์บุรุษที่สาม ตัวอย่างประโยค เช่น She has two cars. (ชี แฮส ทู คาร์ซ) แปลว่า เธอมีรถสองคัน นี่เป็นเพียงตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษจำนวนเล็กน้อย ที่มักจะพูดผิดกัน แต่หากเรามีการเรียนรู้และฝึกฝนในสิ่งที่ถูกต้องให้เคยชิน ก็จะเกิดความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้นซึ่งตรงตามคำพูดที่ว่าPractice makes perfect นะคะ



วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Chapter8 :How to Earn Regular Income from Stock Investing Via Dividends :)


credit : table's

สวัสดีค่ะ กลับมาอีกครั้งและเเน่นอนมีสาระดีๆมาฝากนะค่ะ
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนระยะยาว เสี่ยงน้อย ไว้สำหรับเป็นคู่มือก่อนการลงทุน

How to Earn Regular Income from Stock Investing Via Dividends

Provided that you are willing to have a diverse selection of dividend-paying stocks 
(more than 10 with no more than 20% of your money in any individual company or any sector) 
and you are willing to pay attention to it so you don’t end up holding 
a company as it falls down the Enron drain, this strategy can work.
It’s often discussed in investing books as "dividend investing"
and can work very well for you, not only as a 
retirement plan, but as a way to build steady income. 

STEPS
1.Spend way less than you earn. Pay yourself first. 
You'll need the investments to return substantially
more each year than you would spend.

2.Keep a year's worth of living expenses in cash, savings account, and CD's.
This isn’t just an emergency fund, but it helps you get through the ups 
and downs of your other investments. 
If they don’t return as well as you’d like for a quarter
 or two, things aren’t disastrous - you still have a lot of breathing room.

3.Roll the excess back into your investments. 
Whenever you start to build up way more than a year’s worth of savings,
roll it into more investments. Keep pretty careful track of your spending 
and so you have a strong estimate of the year to come. 
If the amount in cash and CD's gets over fifteen months' worth 
of living expenses or so, cut it down to twelve months' worth
and put that difference into your investments. And what are they?

4.Put all of the rest of your money in stocks which pay a good dividend. 
Buy stocks in companies you believe in over the long haul that pay good dividends. 
So how does that work? Let’s take a look at AT&T (Google Finance). 
As of this writing, a share of AT&T is at 24.83 and has a dividend of 0.40. 
What that means is that every three months, for each share of AT&T 
that a person holds, AT&T pays that person $0.40. 
So, let’s say that over time, you bought 1,000 shares of AT&T - at today’s market prices, 
that would have cost you just short of $25,000. This means that every 
three months this year, AT&T is directly going to pay you $400. 
Over the course of a year, that would have added up to $1,600. 
And if that dividend holds, over ten years, the investment would pay out $16,000. 
Obviously, the board of directors of a company can choose to 
raise or lower a company’s dividends. That’s why you should choose 
to buy only stable companies that have a long history of paying good dividends.

5.Choose your stocks wisely.

    Don't just go by which stock has the highest dividend yield, which is the annual dividend divided by the current stock price. That may be caused by a low stock price, which could be the result of the company having problems, compared to the historical dividends.

    A company with a history of paying a consistently growing dividend is best, next is a company that pays a consistent but steady dividend, and next is a consistent but flat dividend. Be wary of a company that has had to cut its dividend--that doesn't mean you should avoid it completely, just look closely.

    Look at the dividend coverage ratio. Take the 12-month operation cash-flow per share and divide it by the last 12-month dividend (or expected annual dividend). A company with a ratio of 1.0 or better is generally "safe"

    Go for companies that have a lower debt load than the industry average or its peers, because that offers the flexibility to borrow if needed to support operations and the dividend.

TIPS

    For the most part, you don't need to worry about the stock price. All you care about is the dividend - as long as it stays reasonable, it doesn’t matter how much or how little the stock can sell for. You intend to hold it for a very, very long time. In fact, you should hope for low prices on many stocks, just as you would hope for low prices on beef if you intend to buy beef and not a cattleman yourself. You can buy more dividend-earning stocks given the low market, and get more shares for your dollar.
    An added bonus is that dividends are generally taxed at a lower rate than other interest income.

♥ .•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•♥



วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Chapter7 : Consumer Behavior 2013


สวัสดีค่ะ
กลับมาอีกครั้งค่ะเพราะช่วงนี้กำลังจะสอบMidterm ค่ะ
เหนื่อยมากกับการอ่านหนังสือ เเอบเนิดนิดๆ 

กลับมาครั้งนี้ได้ไปอ่านบนความหนึ่ง
เกี่ยวกับพฤติกรรม'หกขี้' ของผู้บริโภคปี'2013
จะได้เป็นประโยชน์สำหรับผู้ลงทุน หรือเป็นช่องทางให้กับผู้ที่คิดจะสร้างธุรกิจ



พฤติกรรมหก ขี้ นี้มีอะไรบ้าง หลายท่านคงพอเดาได้
 เพราะลองย้อนไปดูตัวเราเองแล้วก็อาจจะไม่หนีไปจากนี้เท่าไร มา
เริ่มขี้ที่ 1 กันเลยดีกว่าค่ะ นั่นก็คือ “ขี้เกียจ”
คุณเคยสังเกตไหมว่าเวลาอยู่หน้าโทรทัศน์ ได้ดูโทรทัศน์หรือไม่?
หรือเวลาที่เปลี่ยนช่อง ใช้เวลาดูในแต่ละช่องที่เปลี่ยนนานเท่าไร่
นั่นแหละคือคำตอบ ผู้บริโภคในปัจจุบันเสพสิ่งที่เรียกว่า 
Multitasking คือ ผู้บริโภคเรามักจะทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน

เช่น เวลาอยู่หน้าโทรทัศน์ อาจจะดูโทรทัศน์ Chat ผ่าน Smartphone 
 เล่นเฟซบุ๊ค เล่นเกมส์ รวมถึงชอปปิง ทำธุรกรรมออนไลน์ และอื่นๆ อีกมากมาย 
 การทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้พร้อมๆ กัน จะทำให้ผู้บริโภคไม่มีเวลานิ่งเงียบนานพอที่จะกลั่นกรองความคิด 
ทำให้ผู้บริโภคมีสมาธิสั้นลง ไม่สามารถโฟกัสในสิ่งๆ หนึ่งได้ในระยะเวลานานๆ
 สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้ผู้บริโภคมีความสามารถในการคิดน้อยลง 
ขาดเวลาที่แม้จะจินตนาการที่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในการคิด
 เพราะฉะนั้นจึงลงเอยด้วยการ “ขี้เกียจคิด”


นอกจากนี้ผู้บริโภคจะไม่ชอบอ่านบทความอะไรที่ยาวอีกแล้ว
เวลาที่ Search หาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ก็จะอ่านแบบสแกนเร็ว ๆ
 เพื่อดูว่ามีข้อมูลที่ต้องการหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ออกไปหาหน้าใหม่
 ไม่ต้องมาเสียเวลามานั่งอ่าน แบบซึมซับข้อความทีละบรรทัด


จากงานวิจัยพบว่าการใช้ Eye Tracking ซึ่งเป็นเครื่องมือใช้วัดว่าสายตา
ของผู้บริโภคสแกนสายตาไปที่จุดใด
 ซึ่งพบว่าผู้บริโภคในปัจจุบันจะอ่านตัวอักษรเพียงแค่ 18% ของหนึ่งหน้าเท่านั้น
ดังนั้นการเพิ่มขึ้นของตัวอักษรหรือการใส่ข้อมูลแน่นๆ จ
ะเป็นผลเสียมากกว่า เพราะยิ่งตัวอักษรเยอะ โอกาสของผู้บริโภคที่จะอ่านบทความนั้นๆ
 ก็จะยิ่งน้อยลง เนื่องจากผู้บริโภคยุคใหม่จะ “ขี้เกียจอ่าน”
โดยผู้บริโภคในปัจจุบัน และอนาคตชอบที่จะดูคลิปวีดิโอหรือดูเป็นภาพมากกว่าที่จะอ่าน

อีกทั้งผู้บริโภคในปัจจุบัน ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องออกไปไหนมาไหนอีกแล้ว
 เพราะผู้บริโภคสามารถเลือกที่จะซื้อของและทำธุรกรรมผ่าน Application ใน Smartphone
 แทนที่จะไปด้วยตัวเอง อีกไม่นานพวกเราคงเห็นผู้บริโภคไปเดินจ่ายตลาดซื้อของเข้าบ้าน
 หรือเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าตาม Shop น้อยลง เพราะ “ขี้เกียจออก” 
เพียงแค่นั่งอยู่บ้าน เลือกสินค้าที่ชอบ แล้วก็จัดส่งสินค้าไปถึงบ้าน
 หรือแม้กระทั่งจะสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศก็ทำได้ง่ายๆ
เพียงแค่ “คลิก” แม้แต่การเติบโตของธุรกิจอาหารแช่แข็ง
ปรุงสำเร็จ กึ่งปรุงสำเร็จ ก็ส่งผลดีตามไปด้วย เพราะผู้บริโภค “ขี้เกียจทำ”


แค่นั้นยังไม่พอ เทคโนโลยีในปัจจุบันยังทำหน้าที่ของมันได้ดีเกินไปจนมนุษยชนอย่างเราๆ
 แทบจะไม่ต้องคิดอะไร จึงไม่น่าแปลกว่าในอนาคตผู้บริโภคจะขาดเทคโนโลยีไม่ได้
 จนอาจจะคิดแทนมนุษย์ในทุกๆ เรื่องเลยด้วยซ้ำ เช่น รถยนต์ในปัจจุบัน เทคโนโลยีใหม่ๆ
 ทำให้ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องจอดรถเอง ไม่ต้องจำทิศทางหรือวางแผนการเดินทาง 
ไม่ต้องเบรกเอง ไม่ต้องบิดกุญแจ หรือแม้กระทั่งไม่ต้องขับเองด้วยซ้ำ 
เห็นแล้วใช่ไหมคะ ว่ามันทำให้ผู้บริโภคขี้เกียจขึ้นได้ขนาดไหน


ความขี้เกียจของผู้บริโภคเอง เป็นเหตุให้วิถีการค้าของห้างร้านจำเป็นต้องปรับตัว 
นักการตลาดต้องสร้างความสะดวก เข้าถึงง่ายและได้หลายช่องทาง
 การสื่อสารจึงต้องเป็นอะไรที่เข้าใจง่ายๆ สื่อด้วยภาพหรือเรื่องราว
 และแน่นอนผลิตภัณฑ์ที่ออกใหม่ก็ต้องมี Innovation
 ที่ทำให้ผู้บริโภคแทบจะไม่ต้องคิด ไม่ต้องทำ
 เพราะเทรนด์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จะไปในทาง Automatic อย่างแน่นอนค่ะ

♥ .•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•♥

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Chapter 6 : Six types of personalities by Erich Fromm

❤ วันนี้เป็นวันหยุด ของอร ค่ะ

ระหว่างทำการบ้าน ก็เเอบไปเจอ อะไรดีๆมาฝากเพื่อนๆนะค่ะ

เกี่ยวกับ บุคลิกของคน 6 ประเภท ลองอ่านดูว่าเราเป็นประเภทไหน และ ควรจะเป็นเเบบไหน 


ลองอ่านภาษาอังกฤษดูก็ได้นะค่ะ ได้คำศัพท์ดีๆหลายคำเลย :)


• กลุ่มคน Non-productive

1. Receptive: ยอมรับชะตากรรม ชอบตามมากกว่านำ ... 
ข้อเสียคือ มักตกเป็นเหยื่อ ... 

ข้อดีคือ อดทนและยอมรับสิ่งต่างๆ ได้ (ซึ่งมักจะเป็นด้านร้าย) ตัวอย่าง เช่น ชาวนา หรือแรงงานย้ายถิ่นฐาน

2. Exploitative: ฉกฉวยผลประโยชน์จากผู้อื่น 
ข้อเสียคือ ไม่อดทน และไม่ลงมือทำเอง
 ข้อดีคือ มีความมั่นใจในตัวเองสูง ตัวอย่างเช่น คนจากประเทศเจ้าอาณานิคม ที่ยืดครองทรัพยากรของคนท้องถิ่น

3. Hoarders: ชอบเข้าหาผู้มีฐานะดีหรือมีตำแหน่งงานสูง 
ข้อเสียคือ มักแสวงหาอำนาจ และใจแคบ 
ข้อดีคือ ชอบลงมือทำ และรู้จักใช้จ่าย ตัวอย่างเช่น คนชั้นกลาง

4. Marketing: หมกมุ่นกับภาพลักษณ์ของตัวเอง ทุกสิ่งในชีวิตต้องทำไปเพื่อแสดงสถานะ 
ตั้งแต่เสื้อผ้า รถยนต์ การท่องเที่ยว การเลือกคู่ครอง 
ข้อเสียคือ ความคิดตื้นเขิน คิดแต่การหาผลประโยชน์ 
ข้อดีคือ มีแรงจูงใจสูง มีเป้าหมายชัดเจน และกระตือรือล้น ตัวอย่างเช่น คนในเมืองใหญ่ที่มีความเจริญทางวัตถุสูง

• กลุ่ม Necrophilous (คนกลุ่มที่ 5): ชอบทำลายล้าง 
กลัวความไร้กฎระเบียบซึ่งตัวเองควบคุมไม่ได้
 มองโลกในแง่ร้าย มองว่าน้ำขาดไปครึ่งแก้วเสมอ 
ไม่เคยมองว่ามีน้ำเต็มอยู่ตั้งครึ่งแก้ว ตัวอย่างเช่น ฮิตเลอร์

• กลุ่ม Productive (คนกลุ่มที่ 6): แสวงหาความสำเร็จผ่านการเรียนรู้ 
ปรับตัว และเข้าสังคม เข้าใจโลกด้วยหลักเหตุผลและเปิดใจรับฟังข้อมูล
 จึงสามารถเปลี่ยนแปลงความเชื่อฝังหัวเมื่อได้เรียนรู้ข้อมูลใหม่ๆ 
นับถือผู้คนที่การกระทำ ไม่ใช่ที่ฐานะหรือความโด่งดัง

แปลแบบเอาความ จากหนังสือ "The Psychology Book" ตอน Psychotherapy
 ส่วนที่กล่าวถึงผลงานของ Prof. Erich Fromm 
นักจิตวิทยาชาวยิวและอาจารย์
 ณ New York University และ Columbia University



♥ .•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•♥





Chapter 5 : it's hard to be me :')



❥ สวัสดีค่ะ ไม่ได้อัพตั้ง 1 วัน วันนี้มีเรื่องวาวน่าสนใจเกี่ยวกับหุ้นมาฝากอีกเเล้วค่ะ

ที่ไม่ได้อัพเพราะช่วงนี้เครียดๆเกี่ยวกับเรื่องเรียนนิดหน่อยค่ะ  

เอาเป็นว่าเดี๋ยวอรจะค่อยๆคิดหาทางแก้ไป ใครจะมาเข้าใจคำว่า " คิดถึงบ้าน "

เท่าคนที่เรียนต่างประเทศ,,

*♫~ •·.·´¯`·.·• •·.·´¯`·.·• ♫~*

การกำหนด Position Sizing และ Units limit 

แม้จะไม่มีเรื่องของการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคซักเท่าใหร่ แต่เป็นเรื่่องสำคัญในการเล่นหุ้นให้สำเร็จด้วยนะค่ะ

The importance of Position Sizing คือ ความสำคัญของการหา Position Size 

การกระจายความเสี่ยงนั้นมีความสำคัญเพื่อที่จะ กระจายการลงทุนไปยังหุ้นต่างๆ 
เพื่อจำกัดความเสี่ยงของ Port และเพิ่มโอกาศที่จะเล่นหุ้นถูกตัวให้มากขึ้นค่ะ 
โดยในการนี้เมื่อเราใช้วิธีนี้แล้วจะทำให้เราสามารถจัดการ Risk/Reward ในหุ้นแต่ละตัวได้อย่างเท่าๆกันด้วย
ระบบturtle Trading System จะใช้ค่า “ความผันผวน หรือ Volatility” 
ในการประเมิณความเสี่ยงในการลงทุนแทนที่วิธีธรรมดา 
เพื่อที่จะทำให้ความเสี่ยงในแต่ละการลงทุนที่ถืออยู่สามารถประเมินได้อย่างเท่าๆกันๆ 
และการทำเช่นนี้ยังสามารถช่วยให้เกิดความน่าจะเป็นที่จะเพิ่มปริมาณการเทรด 
ที่ถูกต้องได้มากกว่ากว่าเทรดที่ผิดพลาด

อีกประเด็นนึงที่น่าสนใจนั่นก็คือ การกระจายความเสี่ยงนั้น จะยากขึ้นหาก portfolio ของเรามีขนาดที่เล็กลง
เนื่องจาก หากเราเล่น option , future หรือ commodity เราต้องเทรดเป็น contract 
ซึ่งบางครั้งการคำนวน position size ที่ออกมาจะได้ค่า ไม่เต็มจำนวนเช่น
Unit Size = 1% of account / N * dollar point
ในกรณีที่ ค่า N ที่ได้นำมาคูณกับ มูลค่าต่อจุด ออกมาแล้วไม่เต็มจำนวนเราต้องตัดเลข 
ลงมา ไม่ไช่ตัดขึ้นนะครับไม่เช่นนั้นจะเกินความเสี่ยงที่เรารับได้นั่นเอง
เช่น ถ้า 1 point คือ 5,000 บาท ค่า N คือ 14.5 เราจะได้ 14.5 * 5000 = 72,500 บาท
จำนวนเงิน 2% ของport 1,000,000 บาท = 200,000 บาท
นำ 200,000 / 72,500 = 2.75862 เราต้องลดลงเหลือ 2 contract นั่นเองค่ะ



Unit as a measure of risk คือ การนำUnit หรือ ปริมาณของการเทรดมาประเมิณความเสี่ยง 

เมื่อ Turtles นำunit มาเป็นหลักพื้นฐานในการหา Position size 
แล้วและเมื่อการที่แต่ละ unit นั้นได้ถูกปรับแต่งมาเป็นอย่างดีตามค่าความผันผวนของตลาด
 เราจึงสามารถที่จะนำจำนวน unit มาประเมิณความเสี่ยงของport เราได้เช่นกันค่ะ
Turtles จะถูกกำหนดกฏของการเทรดเพิ่มเข้ามาเพื่อจำกัดความเสี่ยงจากจำนวนของ
 unit ตามแต่ละช่วงเวลาและตาม ตลาดที่เข้าเทรดเพื่อเป็นการปกป้อง
 portในเวลาที่พวกเขาต้องเจอกับ Losing period หรือ Drawndown 
หรือแปลอีกอย่างตามประสาชาวบ้านว่าช่วง ดวงซวยนั่นเอง
 เช่นเมื่อตลาดเกิดการหักกลับอย่างกระทันหันหรือ การ panic เป็นต้น
อย่างเช่นช่วง Black monday ในตลาด อเมริกา 
หากว่าพวกเขาไม่ทำเช่นนั้นก็จะต้องเจอกับชีวิตที่น่าเศร้าของ 
เทรดเดอร์นับแสนคนที่ มูลค่าของ Portfolio หายไปหลาย
 สิบเปอร์เซนท์ในเพียงวันเดียวเฉกเช่นเดียวกัน นี่เป็นตาราง limit ที่พวกเขาต้องทำตามค่ะ


* ในที่นี่หากเราๆที่เล่นหุ้นกันเพียงอย่างเดียว อาจจะมองหรือกำหนดเป็น Sector 
ขึ้นก็ได้ว่าแต่ละ Sector นั้นเราจะจำกัด Unit หรือ ปริมาณเงินของเรายังไง 
หากเพื่อนๆเล่นทั้ง หุ้นทั้ง future หรืออะไรต่อมิอะไรก็สามารถดูเป็นแนวคิดได้เช่นกันนะค่ะ

Adjusting Trading Size คือ การปรับระดับลดน้ำหนักการลงทุน 

ในการเล่นหุ้นหรือลงทุนนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตลาดหุ้น
อาจจะไม่เอื้ออำนวนอยู่เป็นเวลายาวนานหลายเดือน ในช่วงเวลาเหล่านี้ 
เป็นไปได้มากที่คุณจะต้องขาดทุนอย่างมหาศาล โดยเฉพาะพวก 
Trend trader หากตลาด Sideway อยู่หลายเดือน 
นี่จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องรู้จักลดน้ำหนักการลงทุนลง !
และเมื่อเริ่มมีการทำกำไรก้อนใหญ่ๆได้อีกครั้งแล้ว คุณอาจจะค่อยๆเพิ่มปริมาณการเล่นหุ้นให้มากขึ้นอีกครั้ง 
พวกกลุ่มเซียนเต่า Turtle ทั้งหลายจะไม่เล่นหุ้นในปริมาณหรือน้ำหนักที่เท่าเดิม 
หรือเหมือนเดิมทุกครั้ง พวกเขาจะถูกประเมิณโดย Richard Dennis ในทุกๆปลายปีเพื่อ 
ลดน้ำหนักลง หรือ เพิ่มน้ำหนักขึ้น ตามผลงานของเขา
พวกเซียนเต่า Turtle Trader จะถูกสอนให้รู้จักการลดน้ำหนักการลงทุนลง 20% ของportfolio
 ทุกครั้งที่เกิดการขาดทุนรวมของ port ถึง 10% เช่น เงิน 1,000,000 เหรียญ
หากขาดทุน 10% เหลือ 900,000 เหรียญ เขาจะต้องโดนลด port เหลือ 800,000 เหรียญ
หากเกิดขาดทุนต่ออีก 10% เขาจะต้องปรับ port ลงอีกเหลือเพียง 640,000 เหรียญ
 นั่นเองถึงแม้ว่าจะดูเหมือนกับทำให้การทำกำไรกลับไปที่เดิมยากขึ้น
 แต่การทำเช่นนี้เป็นการลดความเสี่ยงจากช่วงเวลา Drawn down period ได้เป็นอย่างดี 
และช่วยในการลดน้ำหนักการลงทุนในเวลาที่ตลาดไม่เป็นใจได้เป็นอย่างดี
และถึงแม้ว่านี่จะเป็น Method การลด port จัดการความเสี่ยงแบบง่ายๆของพวกเขาก็ตามค่ะ
 อาจจะมีวิธีการอื่นที่ดีกว่านี้แต่มันก็ช่วยทำให้พวกเขาอยู่รอดและรักษา 
Performance ที่สม่ำเสมอมาได้ตลอดเป็นอย่างดีค่ะ



                                                      *♫~ •·.·´¯`·.·• •·.·´¯`·.·• ♫~*

ขอบคุณความรู้ดีๆจากwww.mangmaoclub.com








วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Chapter 4 : Sweet Sunday with Hello Kitty Cafe ❤








Hello Sweet Sunday

วันนี้เป็นวันหยุด อร เลยจะพาทุกคนไปเที่ยวไต้หวันกันบ้าง
แต่วันนี้อยากจะกินเค้ก และนั่งร้านน่ารักๆ เลยตัดสินใจจะไปร้าน Hello Kitty Cafe ค่ะ

ขอบบอกว่าสาวกKitty มาไต้หวันทั้งทีอย่าพลาดนะค่ะ 
เรามาเริ่มจาก LOCATION กันก่อนเลยดีกว่า เดี๋ยวจะมาไม่ถูกกันนะค่ะ



พอมาถึงเข้าไปดูในร้านกันก่อนเลยนะค่ะ



Menu แนะนำของที่นี่ค่ะ


เค้กน่ารักขนาดนี้จะกินลงไหมค่ะเนี่ย แต่ถ้าอยากจะนั่งในร้านนี้
มีข้อเเม้นะค่ะ จะต้องสั่งอาหารขั้นต่ำคนละ 300 NTนะจ๊ะ แต่ร้านเนี่ยน่านั่งมากๆ
มาชมบรรยากาศร้านกันบ้าง ดีกว่านะค่ะ ว่าจะคุ้มไหมกับการจ่าย 300 NT/PERSON


Posted Image

                               Posted Image

                               Posted Image


                               Posted Image
                               Posted Image

ช่างเป็นร้านที่เหมาะกับสาวหวาน และสวรรค์ของสาวก เหมียวน้อย
วันนี้มีเรื่องมาเล่าแบบมีสาระเกี่ยวกับการกินเล็กๆ ยังไงก็ฝากบล๊อคด้วยนะค่ะ


ขอบคุณสำหรับคนอ่านนะค่ะ
แล้วพรุ่งนี้อรจะมาอัพสาระดีๆสำหรับผู้เริ่มเล่นหุ้นให้ฟังนะค่ะ

อย่าลืมแสดงความคิดเห็น หรือข้อติชมด้วยนะค่ะ

สวัสดีค่ะ เหมียววว ว ~ :)





                                        Posted Image

♥ .•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•♥:







วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Chapter 3 : Chill day with some article about "Stock"


﹃﹄Hello Saturday :)

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆทุกคน วันหยุดเพื่อนหลายคนคงจะออกไปข้างนอกใช่ไหมค่ะ
อรก็ออกไปข้องนอกมาเหมือนกัน เพราะต้องออกไปทำ Observation เกี่ยวกับอะไรก็ได้
แต่อรเลือกที่จะศึกษาเกี่ยวกับ Consumer behevior at Starbucks at Taipei station 
เพื่อนๆเชื่อไหมค่ะว่าสตาร์บั๊ค ได้รับความนิยมอย่างมากเลยค่ะ 

"ภายใน 2 ชั่วโมง มีลูกค้าเข้ามาซึ้อ 200 กว่าคนได้"

หลังจากทำการสำรวจเสร็จเรียบร้อย อรก็มีเวลาว่าง เลยหาอะไรอ่าน เพื่อเตรียมตัวจะเล่นหุ้น
ระหว่างนั้นเลยไปเจอ บทความที่น่าสนใจ โดยบังเอิญ เลยเอามาเเบ่งปันเพื่อนๆค่ะ

เรื่อง : ระบบการเล่นหุ้นที่สมบูรณ์แบบ

นักเล่นหุ้นที่ประสบความสำเร็จ มักจะมี“วิธีการเล่นหุ้นอย่างเป็นระบบที่แน่นอน แต่ยืดหยุ่นในวิเคราะห์และตัดสินใจ”
และนี่คงไม่ไช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอนค่ะ หลายคนคงสงสัยว่าอะไรคือระบบการเล่นหุ้นและวิเคราะห์หุ้นที่ดีไช่ใหมค่ะ
แล้วระบบมีความสำคัญอย่างไร ? แน่นอนค่ะระบบมีความสำคัญอย่างมาก เพราะเนื่องจากความที่คนก็คือคนครับ“อารมณ์”
เป็นเรื่องที่หลีกไม่พ้นอย่างแน่นอน หากพวกเราเคยได้นำการเทรดที่ผ่านมามาวิเคราะห์ส่วนมากแล้วเราจะพบว่า
ใหญ่เกิดขึ้นจากอารมณ์ของเราทั้งนั้นตั้งแต่ซื้อยันขาย และนี่เป็นที่มาของความจำเป็นที่เราจะต้องมีระบบในการเล่น
หุ้นล่ะค่ะจะได้ไม่ต้องปวดหัว ปวดใจ คอยลุ้นกันให้ตัวโก่งเลยทีเดียว ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าระบบการเล่นหุ้นของ
เรามันครบถ้วนความผิดพลาดส่วนในสิ่งที่มันควรมีเรามาว่ากันต่อดีกว่า

องค์ประกอบที่สมบูรณ์ของ Trading System














หลายคนอ่านดูแล้วคงคิดว่ายากเกินไป ใช่ใหมค่ะ ใจเย็นๆนะค่ะมองดีๆแล้วมันก็ง่ายมากเลยค่ะ 
ไม่พ้นหลักที่เราเคยเรียนภาษามาตั้งแต่เด็กแหละค่ะ มันก็คือหลักใครทำ อะไร เท่าไหร่ เมื่อไหร่ ที่ใหน อย่างไร 
               
การที่ระบบจะสมบูรณ์นั้นจะต้องมีจุดตัดสินใจในการ

1                 1.ซื้ออ่ะไร : นั่นหมายความว่าคุณจะต้องคิดแล้วล่ะค่ะ ว่าคุณจะเล่นกับความเสี่ยงแบบใหน หุ้นหรือ ฟิวเจอร์ 
        หรืออ่ะไรต่างๆนาๆ ที่เรารู้จักกันแหละค่ะ
             2.    ซื้อเท่าไหร่ ขายเท่าไหร่ : ระบบจะต้องบอกคุณได้ว่าคุณมีตังค์เท่านี้ๆคุณควรจะซื้อเท่าไหร่ให้เหมาะสม



ในการจัดการความเสี่ยงค่ะ บางคนเรียก ( Money Management )
                                   3.    ซื้อเมื่อไหร่ : คำถามนี้ถามง่ายตอบยากค่ะ แต่ระบบของคุณก็ควรจะมีจุดตัดสินใจที่แน่นอนไว้ก่อน
            4.    จุดหนี อยู่ที่ใหน : พูดง่ายๆคือ รู้ตัวว่าผิดไปแล้วเมื่อไหร่นั่นแหละค่ะ เป็นสิ่งสำคัญมากที่ระบบต้องมีนะค่ะ
            5.    ขายทำกำไรเมื่อไหร่ : เรื่องนี้คิดว่าทุกคนทำเป็นแต่จะทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพที่สุดนั้นตอบยากแต่จำเป็น
ต้องกำหนดไว้ก่อนเช่นกันค่ะ

หลังจากนี้เราก็ลองไปทบทวนดูว่า ปัจจัยในการวิเคราะห์หุ้นของเราเนี่ยมันขาดตกบกพร่องไปตรงใหนรึเปล่า 
โดยการเช็คระบบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประสิทธภาพของระบบนะค่ะ 

ข้อควรจำ 
ระบบการเล่นหุ้นที่ดีนั้นจะต้องทำให้เราสามารถตัดเอาความรู้สึกและอารมณ์” 
ของเราไม่ให้เจือปนในการวิเคราะห์และตัดสินใจ ซึ่งนั่นก็เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอารมณ์ของเราเอง
ซึ่งจะทำให้เรามีความสม่ำเสมอในการเล่นหุ้นได้อย่างดีขึ้นแน่นอนค่ะ


หวังว่าเพื่อนๆคงจะเข้าใจมากขึ้นไม่มากก็น้อยนะค่ะ
วันนี้นี้เองความรู้มาฝากแค่นี้ก่อนนะค่ะ ไว้จะมาอัพเพิ่มเติม


พรุ่งนี้วันครอบครัวอย่าลืมพาคุณพ่อคุณแม่ไปทานข้าวนะค่ะ :)

สวัสดีค่ะ (◕‿◕✿)


♥ .•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•♥

REFERENCE :www.mangmaoclub.com